คลื่นลมแรงท้ายปี 2025: เฟดคงดอกเบี้ยสูง AI พลิกโลก ลงทุนอะไรดี?

บทวิเคราะห์ส่งท้ายปี 2025: ตลาดผันผวนจากนโยบายดอกเบี้ยสหรัฐฯ ขณะที่เทคโนโลยี AI และพลังงานสะอาดสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ที่ไม่ควรพลาด

คลื่นลมแรงท้ายปี 2025: เฟดคงดอกเบี้ยสูง AI พลิกโลก ลงทุนอะไรดี?

คลื่นลมแรงท้ายปี 2025: เมื่อเฟดยังดื้อ แต่ AI แรงไม่หยุด... เราจะไปต่อยังไงดี?

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Thai Mangkang ทุกท่าน

วันนี้วันที่ 26 ธันวาคม 2025... สุขสันต์วัน Boxing Day ครับ! บรรยากาศช่วงท้ายปีแบบนี้ ปกติเราควรจะได้เห็น "Santa Rally" หรือการที่ตลาดหุ้นเขียวสดใสรับปีใหม่กันใช่ไหมครับ? แต่ดูเหมือนว่าซานตาคลอสปีนี้จะแบกของหนักมาผิดปกติ เพราะแทนที่จะเป็นของขวัญกล่องโต ตลาดการเงินโลกกลับกำลังเผชิญกับคลื่นลมที่ปั่นป่วนจนน่าเวียนหัว

ผมนั่งจิบกาแฟดูหน้าจอกราฟวันนี้ บอกตรงๆ ว่าความรู้สึกมัน "กึ่งสุขกึ่งดิบ" ครับ ในขณะที่เราเห็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกแบบก้าวกระโดดชนิดที่เมื่อ 2 ปีก่อนเรายังนึกภาพไม่ออก แต่ในกระเป๋าตังค์ของนักลงทุนกลับถูกกดดันด้วยนโยบายการเงินที่ตึงตัวจนน่าอึดอัด ใครที่พอร์ตแดงอยู่ อย่าเพิ่งปิดจอหนีครับ วันนี้ผมจะมาแกะรอยให้ฟังแบบเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังว่า ในสถานการณ์ที่โลกแบ่งเป็นสองขั้วชัดเจนแบบนี้ โอกาสซ่อนอยู่ที่ไหน และเราควรจัดทัพรับปี 2026 อย่างไร

วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดล่าสุด: โลกสองขั้วที่สวนทางกัน

ถ้าให้ผมนิยามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ณ ปลายปี 2025 นี้ คำเดียวที่เหมาะสมที่สุดคือ "Divergence" หรือความแตกต่างครับ เรากำลังอยู่ในโลกที่ปัจจัยมหภาคดึงตลาดไปคนละทิศละทางอย่างรุนแรง

ในฝั่งหนึ่ง เรามี ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เพิ่งส่งสัญญาณในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีว่า "ดอกเบี้ยสูงจะอยู่กับเราไปอีกนาน" (Higher for Longer... Again). ใครที่เก็งว่าดอกเบี้ยจะลงแรงๆ ช่วงปลายปีนี้คงต้องผิดหวังกันเป็นแถว สาเหตุก็เพราะเงินเฟ้อพื้นฐานมันดื้อกว่าที่คิดครับ ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังแกร่งเกินไป ทำให้เฟดไม่กล้าเหยียบคันเร่งลดดอกเบี้ย ซึ่งนี่คือ "ลมต้าน" ขนาดใหญ่ของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

แต่ในอีกฝั่งหนึ่ง... เรามี "ลมส่ง" จากนวัตกรรม ที่แรงจนฉุดไม่อยู่ ข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ก่อนเรื่อง Breakthrough ใหม่ในวงการ AI ที่ทำให้ปัญญาประดิษฐ์สามารถ "คิดและวางแผนซับซ้อน" ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น (Reasoning Capabilities) คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินยังไหลเข้าหุ้นเทคโนโลยีไม่หยุด แม้ดอกเบี้ยจะสูงแค่ไหนก็ตาม

เจาะลึก 4 ประเด็นร้อนที่ต้องรู้ก่อนเริ่มปี 2026

  • เฟดกับเกมวัดใจเงินเฟ้อ: การที่เฟดยืนยันคงดอกเบี้ยระดับสูงลากยาวไปถึงกลางปี 2026 เป็นอย่างน้อย ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนยังคงสูงลิ่ว นี่คือฝันร้ายของบริษัทที่มีหนี้เยอะ หรือบริษัท Zombie ที่อยู่รอดได้ด้วยเงินกู้ราคาถูก แต่ในทางกลับกัน มันคือบทพิสูจน์ความแกร่งของบริษัทที่มีเงินสดล้นมือ (Cash Rich) อย่างพวก Big Tech
  • ยุโรปเดิมพันหมดหน้าตักด้วย "Green Stimulus": ขณะที่อเมริกาเน้นคุมเงินเฟ้อ ยุโรปกลับเลือกที่จะอัดฉีดเงินก้อนโตเข้าสู่ระบบผ่านนโยบายสิ่งแวดล้อม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา นี่เป็นสัญญาณบวกของกลุ่มพลังงานสะอาด แต่ต้องเลือกตัวให้ดี เพราะไม่ใช่ทุกบริษัทจะรอดในยุคที่การแข่งขันสูง
  • จีนกับปฏิบัติการ "พยุงชีพ": ตลาดหุ้นจีนปีนี้ผันผวนหนัก รัฐบาลจีนยังคงออกมาตรการพยุงภาคอสังหาฯ แบบทีละนิด (Drip-feed stimulus) ซึ่งช่วยให้ตลาดไม่พังครืนลงมา แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้กลับมาบูมเหมือนอดีต จีนตอนนี้จึงเหมาะกับการ "เก็งกำไรระยะสั้น" มากกว่าการถือยาวเพื่อหวังการเติบโตแบบเก่า
  • การคืนชีพของ "พลังงานนิวเคลียร์": นี่คือประเด็นที่ผมตื่นเต้นที่สุด เมกะโปรเจกต์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ถูกปัดฝุ่นขึ้นมาใหม่ทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคงทางพลังงาน แต่เป็นเพราะ "AI หิวไฟ" ครับ Data Center ยุคใหม่กินไฟมหาศาล พลังงานลมหรือแสงอาทิตย์มันไม่เสถียรพอ นิวเคลียร์จึงกลายเป็นทางออกที่จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลกระทบต่อนักลงทุนไทย: อย่ามัวแต่มองแค่ในบ้าน

หันกลับมามองตลาดหุ้นไทย (SET Index) บ้านเราบ้างครับ ต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า ในภาวะที่ดอกเบี้ยดอลลาร์สหรัฐฯ ยังสูงกว่าหรือใกล้เคียงกับผลตอบแทนพันธบัตรบ้านเรา เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ก็ยากที่จะไหลกลับเข้ามาในปริมาณมากครับ ตลาดหุ้นไทยอาจจะดูเหมือน "ถูก" ในแง่ Valuation แต่ถ้าขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่ๆ (Growth Engine) มันก็อาจจะเป็น "Value Trap" หรือกับดักความถูกได้

สิ่งที่น่ากังวลสำหรับนักลงทุนไทยที่ถือหุ้นกลุ่ม "อสังหาริมทรัพย์" และ "รีท (REITs)" คือ ดอกเบี้ยที่สูงยาวนานจะกดดันราคาหุ้นกลุ่มนี้ต่อไป Yield ที่ได้อาจจะไม่คุ้มกับความเสี่ยงด้านราคาที่ลดลง นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนไทยที่ยังแก้ไม่ตก จะทำให้กำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวช้า ซึ่งกระทบหุ้นกลุ่มค้าปลีกและแบงก์ในระยะสั้นถึงกลาง

แต่... ในวิกฤตมีโอกาสเสมอครับ สำหรับนักลงทุนไทย นี่คือจังหวะเวลาที่ต้อง "Globalize" พอร์ตการลงทุนของคุณอย่างจริงจัง การกระจายความเสี่ยงออกไปต่างประเทศไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่มันคือ "ทางรอด"

สรุปและคำแนะนำ: จัดพอร์ตอย่างไรให้รอดและรวยในปี 2026

จากข้อมูลทั้งหมด ผมขอสรุปกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปีหน้าไว้ 3 ธีมหลัก ที่ผมเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ ท่ามกลางคลื่นลมแรงนี้ครับ:

1. AI & Tech: ยังไปต่อ แต่ต้อง "เลือกตัว" (Selective)

เลิกซื้อหุ้นเทคฯ แบบหว่านแหได้แล้วครับ ยุคที่หุ้นเทคฯ ทุกตัวขึ้นยกแผงจบไปแล้ว ปี 2026 คือปีของ "ผู้ชนะที่แท้จริง" ให้เน้นลงทุนใน:

  • บริษัทที่เป็น "Infrastructure of AI": ผู้ผลิตชิป, ผู้ให้บริการ Cloud, และผู้สร้างโมเดล AI ที่มีการใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์
  • กลุ่ม Biotech: การใช้ AI เข้ามาช่วยวิจัยยาใหม่ๆ กำลังจะเปลี่ยนโฉมวงการแพทย์ ประกอบกับสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) เป็นเทรนด์อมตะ หุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตสูงมากและไม่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจมากนัก

2. The New Energy: พลังงานสะอาด + นิวเคลียร์

อย่างที่วิเคราะห์ไปครับ โลกต้องการไฟฟ้ามหาศาลเพื่อรัน AI และต้องการความเป็นกลางทางคาร์บอน (Decarbonization) ไปพร้อมๆ กัน

  • Nuclear Energy: มองหากองทุนหรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับแร่ยูเรเนียม (Uranium) หรือบริษัทสาธารณูปโภคที่มีเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) นี่คือ Megatrend ของจริงที่จะอยู่ยาว 5-10 ปี
  • Grid Modernization: หุ้นที่ทำระบบสายส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ เพราะการมีโรงไฟฟ้าแต่ส่งไฟไม่ได้ก็ไร้ค่าครับ

3. Emerging Markets: มองข้ามจีน ไปที่ "เวียดนาม" และ "อินโดนีเซีย"

ถ้าอยากลงทุนในเอเชีย ให้มองหาประเทศที่มีโครงสร้างประชากรวัยหนุ่มสาวและเป็นฐานการผลิตใหม่ของโลก (Supply Chain Relocation)

  • เวียดนามและอินโดนีเซีย: กองทุนรวมหุ้นในสองประเทศนี้ยังน่าสนใจมาก เพราะเศรษฐกิจเติบโตด้วยการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ที่ย้ายหนีจากจีนมา นี่คือ Growth Story ที่ชัดเจนที่สุดในภูมิภาคเราครับ

ข้อควรระวัง (Red Flags)

สุดท้ายนี้ ขอเตือนให้ หลีกเลี่ยง หุ้นที่มีหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) สูงเกินไป และหุ้นอสังหาฯ ที่เน้นขายระดับล่าง-กลาง เพราะดอกเบี้ยสูงจะกัดกินกำไรจนหมด อย่าเพิ่งรีบรับมีด เพียงเพราะเห็นว่าราคาลงมาเยอะนะครับ

ปี 2026 จะเป็นปีของผู้ที่ "ปรับตัวเร็ว" และ "มองการณ์ไกล" ครับ อย่าให้ความผันผวนระยะสั้นมาบดบังเทรนด์ระยะยาว ขอให้เพื่อนๆ นักลงทุนทุกคนมีสติ รักษาวินัย และขอให้พอร์ตเขียวขจีต้อนรับปีใหม่ที่จะถึงนี้นะครับ!

ด้วยความปรารถนาดี,
จากนักเขียนบล็อกการลงทุนอันดับ 1 ของคุณ